วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตะลึง พบเอดส์พันธ์ใหม่ของโลกในหญิงไทย ติดเร็วรุนแรง


เจอ"เอดส์พันธุ์ใหม่"ในหญิงไทย ที่ตั้งครรภ์ 2 ราย คาดมาจาก"แอฟริกา" เผยต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น เพราะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในสารคัดหลั่งมากกว่า ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น แต่ยังป้องกันได้หากสวมถุงยาง
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ถึงกรณีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบผู้ป่วยเอดส์ 2 ราย ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ที่อาจไม่เคยพบมาก่อนในโลก โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จีและดี เรียกว่า เอจี-ดี(AG/D) ส่วนรายที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี(AE/G) ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบตัวเลขว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น ส่วนผู้ป่วยทั้ง 2 รายดังกล่าวไม่สามารถสอบสวนกลับไปได้ว่า ติดเชื้อมาอย่างไร เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการตรวจสอบเชื้อจากเลือดของผู้ป่วย ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร แต่คาดว่าผู้ติดเชื้ออาจเคยเดินทางไปหรือมีแฟนเป็นคนในประเทศแถบทวีปแอฟริกา
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาเรื่องการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เนื่องจากทั่วโลกมีไวรัสเอชไอวีกว่า 20 สายพันธุ์ หากศึกษาพบสายพันธุ์ใหม่ จะส่งผลต่อการป้องกันและควบคุมโรค ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการป้องกันโรคใหม่ แต่ปัจจุบันยังไม่พบสายพันธุ์ใหม่ ที่ส่งผลจนจำเป็นต้องเปลี่ยนการป้องกัน รวมถึงสายพันธุ์ผสมที่พบใหม่นี้ด้วย ที่ยังสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนการรักษาก็สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ คือ ยาสูตรพื้นฐานและยาสูตรดื้อยาได้ตามปกติ โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสประมาณ 2 แสนคน รับยาสูตรพื้นฐานประมาณ 1.5 -1.6 แสนคน และอีก 4-5 หมื่นคนรับยาสูตรดื้อยา
"จุดแตกต่างสำคัญของเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ผสมกับสายพันธุ์ไทย คือจำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งของสายพันธุ์ลูกผสมมีมากกว่า เช่น ในน้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไทย 1 ซีซี จะมีจำนวนเชื้อ 10 ตัว ขณะที่น้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมจะมีเชื้อ 20 ตัว เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้การแพร่เชื้อง่ายขึ้น เพราะมีปริมาณเชื้อจำนวนมากขึ้น โอกาสติดก็มากขึ้น ส่วนอัตราการดื้อยาน่าจะมีเท่ากัน คือ ประมาณร้อยละ 10" นพ.สมศักดิ์กล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า พบหญิง 2 คนที่มาฝากครรภ์กับโรงพยาบาล ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยตรวจพบในโลกมาก่อน จากปกติเชื้อเอชไอวีที่ระบาดในไทยมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) และสายพันธุ์บี (B) โดยสายพันธุ์เอ-อี จะพบมากกว่าร้อยละ 90 ทั้งนี้ทุกปีจะมีโครงการวิจัยเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์เอชไอวี โดยนำเลือดของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นคนไทยมาถอดรหัสตรวจหาสายพันธุ์เอดส์ ซึ่งปีนี้พบความผิดปกติจากตัวอย่างเลือด 2 คน จากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งมาทั้งหมด 44 คน เนื่องจากถอดรหัสออกมาพบว่าเป็นสายพันธุ์เอชไอวีที่ไม่เหมือนเดิม คนแรกเป็นเชื้อเอชไอวีที่ผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี (AG/D) ส่วนคนที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี (AE/G)
ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง กล่าวต่อไปว่า เชื้อเอชไอวีลูกผสม 3 สายพันธุ์ ไม่เคยมีรายงานการพบมาก่อน โดยสายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่มักพบในทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะไนจีเรีย ส่วนของไทยจะเป็นเออี ตอนนี้สแกนยีนออกมาแล้ว 500 เบส จากทั้งหมด 1,700 เบส เมื่อศึกษาระดับโมเลกุลครบทั้งหมดแล้ว จึงจะทราบรายละเอียดว่าเป็นเชื้อที่แพร่มาจากพื้นที่ใดของโลก ตอนนี้ตั้งสมมติฐานว่าหญิงทั้ง 2 คนได้รับเชื้อมาจากชาวแอฟริกัน ทั้งนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าสายพันธุ์จีกับดีเข้าไทยมานานหรือยัง ที่น่าเป็นห่วงคือสายพันธุ์เอชไอวีจากแอฟริกาจะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสเอดส์ในสารคัดหลั่งมากกว่า ทำให้ผู้สัมผัสติดเชื้อได้ง่ายและแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น
Satan_Doe - 10 มิถุนายน 2009 จากweb sema.go.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กินแคลเซียมเม็ด ดีมั้ย?


เห็นสุภาพสตรีหลายคน ที่อายุมากแล้ว หันมากินแคลเซียมเม็ดกัน ก็เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เพื่อให้หายข้องใจ ผู้เขียนจึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาตินพ.กฤษดา อธิบายว่า แคลเซียมเม็ด ทำมาจากหินปูนชนิดกินได้ นั่นก็คือ แคลเซียมคาร์บอเนต โดยแคลเซียมเม็ดนี้มักมีสิ่งที่นิยมใส่ร่วมด้วย คือ บางชนิดทำจากแคลเซียมร่วมกับกรด เช่น แคลเซียม ซิเตรท ซึ่งจะดูดซึมได้ดีกว่าชนิดหินปูนคาร์บอเนต หรือใส่วิตามินซีกับวิตามินดีร่วมไปด้วย โดยเฉพาะแบบเม็ดฟู่ แต่ต้องระวังในคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร ส่วนแคล เซียมแบบที่ควรระวัง คือ แคลเซียมเม็ดราคาถูกมาก เพราะอาจทำมา จากกระดูกวัวควายป่น ซึ่งอาจได้ของแถมเป็นสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนักอื่น หรือทำ มาจากหินปูนจากภูเขา ซึ่งร่างกายไม่สามารถ ดูดซึมได้ อาจสะสมให้เกิดนิ่วหรือกินเข้าไปเป็นเม็ดก็ยังถ่ายออกมาเป็นเม็ดได้เหมือนเดิม มีงานวิจัย ชี้ว่า แคลเซียมจากอาหารสดจะช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ แต่ถ้าเป็นแคลเซียมเสริมกินมากไปควรระวังการจับตัวเป็นนิ่วในไตได้

เคล็ดสำคัญในการกินแคลเซียมมีดังนี้ 1.อย่ากินร่วมกับผักที่มีผลึกออกซาลิก มาก เพราะจะทำให้เกิด นิ่ว เช่น ใบชะพลู ขึ้น ฉ่าย ยอดมะม่วงอ่อน 2.ถ้าเป็นแคลเซียมเม็ดขอให้แบ่งกินเป็น 2 มื้อจะ ดูดซึมได้ดีกว่ากินพร้อมกัน ในคราวเดียว ยกเว้นถ้าวันใดกินอาหารอุดมแคลเซียม อยู่แล้วก็กินแคลเซียมเม็ดเพียงมื้อเดียวก็พอ ผู้ที่ควรกินแคลเซียม คือ 1.ผู้ที่กินอาหารสดไม่พอ โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย 2.ผู้ที่ มีการใช้แคลเซียมเยอะมากกว่าปกติ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่อย่างนั้นอาจถูกลูกแย่งแคลเซียมจนฟันผุ หรือคน ที่มีปัญหาต่อมไร้ท่อทำให้มีการดึงแคลเซียมออกจาก กระดูกมากกว่าปกติ 3.ผู้ที่เข้าวัยทอง เพราะมีโอกาสกระดูกพรุนสูงมาก โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสันหลังบั้นเอว ข้อตะโพกและข้อมือ 4.ผู้เสี่ยงกระดูกพรุน เช่น คนที่ผอมบางกระดูกเล็ก คนสูบบุหรี่ มีประวัติครอบครัวเป็นกระดูกพรุน ส่วนคนที่ไม่ควรกิน คือ 1.คนที่มีปัญหาเรื่องขับแคลเซียมออกไปไม่ได้ เช่น คนที่เป็นโรคไต 2.คนที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เพราะแคลเซียมที่เกินอาจไปเกาะเป็นตะกรันหลอดเลือดหัวใจทำให้แข็งแต่เปราะและตีบตันง่าย 3.คนที่มีปัญหาเรื่องแคลเซียมสะสมตามตัว เช่น มีกระดูกงอกหรือเป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะ

สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมเยอะ หากคนที่ไม่มีเงินพอซื้อแคลเซียมเม็ดกิน เช่น แกงคั่วหอยขม ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม อึ่งแห้ง เขียดย่าง หมกปลาแก้ว แจ่วปลาร้า และกุ้งชุบแป้งทอด โดยพบว่า ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม หมกเคย กุ้งฝอยชุบแป้งทอด จะมีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 393.6-915.3 มก. ต่อ 100 กรัม เรียกว่ากินแค่ 1 ขีดก็ได้แคลเซียมพอ ๆ กับกินแคลเซียมเสริม 1 เม็ดเลยทีเดียว วัตถุดิบอาหารแคลเซียม ที่เลือกกินง่ายแบบไทย ๆ นอกจากที่เราเคยรู้มีดังนี้ 1.งาดำ รับประทานให้ได้ราว 2 ช้อนโต๊ะต่อวันจะได้แคลเซียมเกือบเท่ากับแคลเซียมเสริมทั้งเม็ดเช่นกัน 2.พริก กระถิน ใบยอ กะเพราโหระพา กระเจี๊ยบ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ปวยเล้ง คะน้า เหล่านี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีแต่มักถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นผัก ให้กินวันละอย่างน้อย 3 ทัพพีร่วมกับอาหารแคลเซียมชนิดอื่น โดยเฉพาะพริกนั้น การกินพริกป่นวันละ 1-2 ช้อนชาได้แคลเซียมถึง 1 ใน 3 ของที่ต้องการต่อวัน 3.กะปิและกุ้งแห้ง 4.เต้าหู้ แต่ขอให้เลือกชนิดแข็งเช่นเต้าหู้ขาวแข็งจะดีกว่าแบบนิ่ม เพราะผ่านกระบวนการที่ช่วยเติมแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการใส่ เจียะกอ ซึ่งก็คือ ยิปซัม หรือแคลเซียมซัลเฟตนั่นเองครับ จึงทำให้เต้าหู้ชนิดนี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีมากครับ 5.นอกจากนั้นยังมีมากใน โยเกิร์ต และชีส ไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะส่วนใหญ่เป็นโปรตีน แต่ถ้าเนยจะเป็นไขมัน


นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ขนมลูกชุบ




  • ปั้นได้ประมาณ 200 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดที่จะปั้นแต่ละลูก เพราะสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างสองอย่างนี้คือ การที่ชาดอกไม้ช่วยดึงรสหวานของเนื้อลูกชุบเมื่อถูกเคล้าด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาเขียว ดอกมะลิและลิลี่ที่อวลอยู่ในชา กลายเป็นช่วงเวลาที่ชวนจดจำมิอาจลืม
    ส่วนผสม :
    ถั่วเขียวซีกที่กระเทาะเปลือกแล้ว 1/2 กิโลกรัม
    มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
    น้ำตาลทรายขาว 1/2 กิโลกรัม
    น้ำ 1/2 ลิตร
    วุ้นผง 1 ซอง
    สีผสมอาหาร และไม้เสียบลูกชิ้น
    วิธีทำ :
    แช่ถั่วซีกในน้ำนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ล้างแล้วสะเด็ดน้ำ นำมานึ่งจนสุก
    ระหว่างนี้แบ่งครึ่งมะพร้าวขูด โดยนำส่วนแรกมาคั้นเอาน้ำกะทิลงต้มในหม้อ
    เติมน้ำตาลแล้วนำไปละลายบนเตาด้วยความร้อนปานกลาง
    ส่วนที่สองนำมาเคล้ากับถั่วซีกที่นึ่งสุก แล้วนำมาปั่นละเอียดจนได้เนื้อเนียนนุ่ม
    จากนั้นเทลงในหม้อ ที่กำลังต้มน้ำกะทิ เคี่ยวให้เข้ากันจนเริ่มเดือด
    เมื่อเริ่มแห้งแล้วให้หรี่ไฟ แล้วกวนไปเรื่อยๆ จนได้ความเหนียวตามต้องการ หรือให้พอปั้นได้
    ยกลงจากเตา รอให้เย็น
    ระหว่างนี้ละลายวุ้นกับน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อย เคี่ยวในหม้อด้วยไฟร้อนปานกลางจนข้นพอเพื่อให้เนื้อเคลือบที่ติดผิวลูกชุบมีความหนาพอประมาณ ยกลงจากเตารอให้เย็น
    จากนั้นนำถั่วกวนที่เย็นแล้วมาปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามต้องการ
    เสียบตรงขั้วด้วยไม้เสียบลูกชิ้นเพื่อระบายสี ตากให้แห้งพอหมาด แล้วชุบลงในหม้อวุ้น รอให้แห้ง
    ถอดออกจากไม้ ตัดและแต่งให้เรียบร้อย
  • ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย