วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อวันที่โอ๊ตรับปริญญา











22 ธันวาคม 2552 กว่าจะถึงวันนี้ 18 ปีเต็มต้องเรียนๆ จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์(สาขาเครื่องกล)มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขอแสดงความยินดีด้วยลูกรักของแม่

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ป้องกันกระดูกพรุนด้วยผักตระกูลคะน้า


พืชในตระกูลคะน้า (Brassica) เช่น บรอคโคลี่ คะน้า ผักกวางตุ้ง กระหล่ำปลี และผักกาดเขียว มีแคลเซียมสูง ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายพอๆ กับนม
แคลเซียมมีอยู่ในอาหารหลายชนิด ที่ขึ้นชื่อคือนม แต่ถ้าจะดื่มนมก็ควรเลือกที่มีไขมันต่ำประเภทนมพร่องมันเนย ซึ่งก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ถูกกับนม ผศ.วงสวาท โกศัลวัฒน์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยโครงการพัฒนาตำรับอาหารไทยที่มีแคลเซียมสูง ภายใต้การสนับสนุนของ
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กำลังทำการศึกษาอาหารพื้นบ้านไทยสี่ภาค เพื่อสนับสนุนการกินอาหารแบบไทยๆ ก็สามารถได้แคลเซียมในปริมาณเพียงพอ เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
จากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า เพราะมีปริมาณออกซาเลทอยู่น้อยเมื่อเทียบกับพืชตระกูลอื่น มีการศึกษาพบว่าพืชบางชนิดมีแคลเซียมสูงแต่ก็มีสารไฟเตท(Phytate) และออกซาเลท (Oxalate) รวมอยู่ด้วยในปริมาณสูง ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถของร่างกายในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้ โดยสารเหล่านี้จะจับตัวกับแคลเซียม และขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในอาหาร
สารไฟเตทจะมีอยู่มากในส่วนเปลือกด้านนอกของพืชเมล็ด และพืชตระกูลถั่วต่างๆ ส่วนออกซาเลทจะอยู่ในพืชผักใบเขียวเข้ม เช่นผักโขมฝรั่ง ผักปวยเล้ง และปริมาณปานกลางในมันเทศ ถั่วเมล็ดแห้ง และในถั่วเหลือง ผศ.วงสวาท แนะนำว่าการปรุงอาหารด้วยวิธีทอด คั่ว จะช่วยลดสารไฟเตท และออกซาเลทในอาหารเหล่านี้ลงได้มากที่สุด ส่วนการต้มกับนึ่งช่วยลดลงได้บ้าง ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้น้ำต้มกระดูกไม่ว่าจะเป็นกระดูกหมูหรือกระดูกไ ก่ ถ้าต้มรวมกับผักนานกว่า 12 ชั่วโมง หรือข้ามวันจะยิ่งทำให้มีปริมาณแคลเซียมเพิ่มขึ้น...เหล่านี้ เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ของภูมิปัญญานักวิจัยไทยมาแนะนำให้เราท่านได้ทำอาหารไทยรับประทานอย่างถูกหลักคงคุณค่าโภชนาการ
ที่มาข้อมูล โดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 14/02/2008

แก้อาการเป็นตะคริว




สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆอ่านทางนี้ เรามีเคล็ดลับวิธีแก้อาการตะคริวแบบง่ายๆมาบอก
เริ่มจากการ เป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้าและใช้มืออีกข้าง ดันปลายเท้าขึ้นลงให้เต็มที่อย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วหาครีมหรือน้ำมันมานวดซ้ำอีกที เพื่อกระตุ้นให้เลือดตรงบริเวณนั้นไหลเวียน หากเป็นตะคริวที่ต้นขา ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง แล้วใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้า ส่วนอีกข้างกดลงบนหัวเข่า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณที่เป็นตะคริว หรือเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า ให้เหยียดนิ้วเท้าให้ตรง และลุกขึ้นยืนเข่ยงเท้า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณ นิ้วเท้าอย่างเบามือ สุดท้าย ตะคริวที่นิ้วมือ ให้เหยียดนิ้วมือออก แล้วนวดเบาๆบริเวณนิ้วมือที่เป็น แนะว่าคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อยทอดผักคะน้า ผักหวาน กระถิน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ลูกพรุน งาดำ และ เต้าหู้ เป็นต้น
ทีมาข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 30/11/2009

เคี้ยวพืชสมุนไพร ดื่มน้ำผลไม้ลดกลิ่นปาก


เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น เรามีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก
เมื่อเกิดกลิ่นปากแล้วอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อเรียกคืนลมหายใจหอมสดชื่น กินดี วันนี้มีพืชสมุนไพร และเครื่องดื่มขจัดกลิ่นเหม็นจากช่องปาก เริ่มที่การใช้พืชสมุนไพร อย่าง กานพลู โดยใช้ดอกตูมแห้ง 2-3 ดอก อมไว้ในปากแล้วคายทิ้ง ทั้งยังสามารถนำดอกตูมแห้งบดให้เป็นผง เพื่อนำไปเป็นผงสมุนไพรสำหรับแปรงฟัน หรือจะเป็น ใบฝรั่ง เลือกใบสด 2-3 ใบ เคี้ยวและคายทิ้งหลังมื้ออาหารหรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีกลิ่นปาก ส่วนเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แถมยังช่วยแก้กระหายนั้นเป็นการนำสรรพคุณของ แตงโมเหลือง สับปะรด แอปเปิ้ลเขียว สำหรับ แตงโม นั้น เป็นผลไม้ที่ช่วยชะล้างของเสียได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะของเสียจากไตและกระเพาะปัสสาวะรวมทั้งทางเดินปัสสาวะ บำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิต แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ส่วน สับปะรด สามารถต้านการอักเสบและเพิ่มพลังการย่อยโปรตีน อุดมไปด้วยโบรเมลิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ผลไม้ชนิดสุดท้าย แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยชะล้างสารพิษออกจากตับและไต ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะน้ำที่สกัดจากแอปเปิ้ล ยังมีสรรพคุณลดไข้ ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ การเตรียมส่วนผสมของเครื่องดื่ม ควรเตรียมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้...
แตงโมเหลือง 2 ถ้วย สับปะรด 1 ถ้วย แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแก้วนี้ เริ่มจากนำสับปะรดที่ปอกเปลือกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก จากนั้นนำแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอหยาบโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนแอปเปิ้ลเขียวให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องเอาแกนออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที.

takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ประโยชน์ของกุยช่าย


ทราบหรือไม่ว่าผักกุยช่ายมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก




แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้ แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้ รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเคลื่อนที่แบบ apoplast และ symplast ในราก







อโพพลาส (apoplast) การเคลื่อนที่ของน้ำในดินเข้าสู่รากผ่านชั้นคอร์เทกซ์ของรากไปจนถึงชั้นเอนโดเดอร์มิสได้โดยน้ำจะผ่านจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งทางผนังเซลล์หรือผ่านทางช่องว่างระหว่างเซลล์

ซิมพลาส (symplast)การเคลื่อนที่ของน้ำผ่านเซลล์หนึ่งสู่เซลล์หนึ่งทางไซโทพลาซึม ที่เรียกว่าพลาสโมเดสมาเข้าไปในเซลล์เอนโดเดอร์มิส ก่อนเข้าสู่ไซเลม เมื่อน้ำเคลื่อนที่มาถึงผนังเซลล์เอนโดเดอร์มิสที่มีแคสพาเรียนสตริพกั้นอยู่ แคสพาเรียนสติพป้องกันไม่ให้น้ำผ่านผนังเซลล์เข้าไปในไซเลม ดังนั้นน้ำจึงต้องผ่านทางไซโทพลาซึมจึงจะเข้าไปในไซเลมได้



เซลล์บัลลิฟอร์ม bulliform cell



ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หญ้า ข้าวโพด ที่ชั้นเอพิเดอร์มิสมีเซลล์ขนาดใหญ่และผนังเซลล์บาง เรียกว่า บัลลิฟอร์มเซลล์ (bulliform cell) ช่วยทำให้ใบม้วนงอได้ เมื่อพืชขาดน้ำจะช่วยลดการคายน้ำของพืชให้น้อยลง
• Bulliformcells เรียกอีกอย่างว่า moter cell เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ ผนังเซลล์บาง รูปร่างคล้ายถุง พบอยู่ด้านหลังใบ (upper epidermis) อยู่ตลอดความยาวของใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งมักพบประมาณ 3-4 เซลล์ต่อกลุ่ม ภายในบรรจุน้ำทำให้เซลล์เต่ง ใบพืชแผ่ขยายออก แต่ถ้า bulliform cells สูญเสียน้ำ เซลล์จะลีบลงเป็นผลทำให้ใบพืชม้วนงอ หรือเหี่ยว

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน complex permanent tissue














ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมาอยู่รวมกันและทำหน้าที่ร่วมกัน ได้แก่ เนื้อเยื่อท่อลำเลียง vascular bundle แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ไซเลม และ โฟลเอม
1. ไซเลม xylem เนื้อเยื่อทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุประกอบด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่หลักในการลำเลียง คือ
1.1 เวสเซล vessel ประกอบด้วย เวสเซลเมมเบอร์ vessel member เป็นเซลล์ที่ตายแล้วผนังเซลล์
มีสารลิกนินเคลือบไม่สม่ำเสมอบริเวณที่ไม่มีสารเคลืบเรียกว่า พิท pit ทำให้น้ำไหลติดต่อกันได้รูปร่างยาวหรือสั้นก็ได้ปลายเซลล์อาจเฉียงหรือตรงมีช่องทะลุถึงกัน เวสเซลเมมเบอร์มาต่อกันเป็นท่อเรียกว่า เวสเซล
1.2. เทรคีด tracheid เป็นเซลล์รูปร่างยาว หัวท้ายแหลม ปลายเซลล์ซ้อนเหลื่อมกัน ผนังเซลล์มีสารลิกนินเคลือบหนาไม่ส่ม่ำเสมอมีพิท เป็นที่ตายแล้ว ส่วนมากพบในพืชพวก จิมโนสเปิร์ม gymnosperm พวกตระกูลสนท่อน้ำจะมีเฉพาะเทรคีดเท่านั้น
1.3 ไซเลมพาเรงคิมา xylem pparenchyma มีชีวิตอยู่ ผนังเซลล์บาง ถ้าเรียงตามขวางเป็นไซเลมเรย์ xylem ray ทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำออกทางด้านข้าง
1.4 ไซเลมไฟเบอร์ xylem fiber แทรกอยู่ตามเซลล์ไซเลมอื่นให้ความแข็งแรงเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว

2. โฟลเอม phloem เนื้อเยื่อลำเลียงอาหารประกอบด้วย
2.1ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ sieve tube member เป็นเซลล์มีชีวิตแต่ไม่มีนิวเคลียส รูปร่างทรงกระบอกปลายผนังเซลล์ทั้ง 2 ด้านมีลักษณะเป็นตะแกรงเรียกว่า ซีฟเพลท sieve plate หลายเซลล์มาเรียงกันเป็นท่อเรียกว่า ซีฟทิวบ์
2.2 คอมพาเนียนเซลล์ companion cell เป็นเซลล์ที่เจริญมาจากพาเรงคิมา เซลล์ขนาดเล็กมีนิวเคลียส มีชีวิต ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับซีฟทิวบ์ และเชื่อว่ามัอิทธิพลต่อการลำเลียงของซีฟทิวบ์
2.3 โฟลเอมพาเรงคิมา ploem parenchyma เป็นพาเรงคิมาที่แทรกตามท่ออาหาร หน้าที่ สะสมอาหาร ถ้าลำเลียงอาหารไปด้านข้าง เรียกว่า โฟลเอมเรย์ phloem ray
2.4 โฟลเอมไฟเบอร์ phloem fiber ให้ความแข็งแรงแก่พืช

เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว simple permanent tiisue







ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่อย่างเดียวกันแบ่งตามหน้าที่และส่วนประกอบภายในเซลล์ได้ดังนี้

1.เอพิเดอร์มิส epidermis เนื้อเยื่ออยู่รอบนอกสุด มีชั้นเดียว รูปร่างแบน แวคิวโอลใหญ่ เรียงกันแน่นไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ มีสารคิวทินเคลือบที่ผนังเซลล์ ป้องกันการระเหยน้ำได้

2.พาเรงคิมา parenchyma เนื้อเยื่อที่พบทั่วไปในพืชรูปร่างค่อนข้างกลม รี ทรงกระบอก เมื่อเรียงติดกันทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ intercellular space แวคคิวโอลเกือบเต็มเซลล์ ถ้าภายในมีเม็ดคลอโรพลาสต์ทำให้เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสงได้เรียกว่า คลอเรนคิมา chlorenchyma และถ้าเป็นที่เก็บสะสมอาหาร เรียกว่า รีเสริฟพาเรงคิมา reserve paenchyma

3.คอลเรงคิมา collenchyma คล้ายพาเรงคิมามีสารเพกตินเคลือบชั้นเซลลูโลสของผนังเซลล์ทำให้ผนังเซลล์หนาไม่เท่ากัน ส่วนหนามักอยู่ตามมุมของเซลล์ พบมากในก้านใบ เส้นกลางใบ และชั้นคอร์เทกซืของไม้ล้มลุก ช่วยให้ความแข็งแรง
4.สเกลอเรงคิมา sclerenchyma เป็นเนื้อเยื่อที่มีสารลิกนินเคลือบผนังเซลล์ช่วยพยุงและให้ความแข็งแรง แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
4.1 ไฟเบอร์ fiber รูปร่างเรียวยาวผนังเซลล์หนาให้ความแข็งแรงแก่พืช
4.2 สเกลอรีด sclereid, stone cell รูปร่างสั้น ป้อม มักอยู่ตามส่วนที่แข็งๆของเปลือกต้นไม้ เปลือกหุ้มเมล็ดและเนื้อผลไม้ที่สากๆ
5.เอนโดเดอร์มิส endodermis เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านนอกของท่อลำเลียงของราก รูปร่างคล้ายพาเรงคิมาผนังเซลล์มีสารลิกนินอละซูเบอรลินเคลือบจะทำให้เป็นแถบ ที่เรียบว่า แคสพาเรียน สตริบ casparian strip จะไม่ยอมให้น้ำผ่านได้ แต่บางเซลล์ไม่มีสารเคลือบจะยอมให้น้ำผ่านได้ เรียกว่า พาสเสดเซลล์ passage cell มักจะอยู่ตรงกับท่อลำเลียงน้ำ xylem

6. คอร์ก cork เนื้อเยื่อนอกสุดของรากและลำต้น มีคอร์กแคมเบียมเป็นพาเรงคิมาที่เจริญเป็นเนื้อเยื่อเจริญ ถ้าเจริญออกทางด้านนอกจะเป็รคอร์ก และเจริญเข้าด้านในจะเป็นส่วนที่เรียกว่า เฟลโลเดิร์ม phelloderm ผนังเซลล์คอร์กจะมีสาร
ซูเบอรินมาเคลือบเป็นสารพวกขี้ผึ้งช่วยป้องกันการระเหยของน้ำภายในเซลล์

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เนื้อเยื่อเจริญ( meristematic tissue )

















เนื้อเยื่อเจริญ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีผนังบางสามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ จำแนกได้ 3ชนิดตามตำแหน่งที่อยู่ส่วนต่างของพืช
1.เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย( apical meristem)อยู่ปลายยอดและปลายรากทำให้รากและลำต้นยาวออก
2.เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ(intercalary meristem) อยู่เหนือข้อ และปล้องทำให้ปล้องยาวออกพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น ไผ่ อ้อย ข้าว ข้าวโพด หญ้า
3.เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง(lateral meristem)ทำให้รากและลำต้นขยายขนาดใหญ่ขึ้นพบในพืชใบเลี้ยงคู่ทั่วไปและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่นหมากผู้หมากเมีย จันทน์ผา เรียกเนื้อเยื่อนี้ว่า แคมเบียม (cambium)ถ้าอยู่ในกลุ่มท่อลำเลียงเรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม(vascular cambium) ถ้าอยู่ถัดจากชั้นเยื่อบุผิวรากและลำต้นเข้าไปเรียกว่า
คอร์กแคมเบียม( cork cambium)

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Honda Unseen Family Rally 2009
















23 - 24 ตุลาคม 2552 ได้มีโอกาสได้ไปทำกิจกรรม แรลลี่กับบริษัทราชามอเตอร์ขอนแก่น เส้นทางขอนแก่น หนองคาย ลาว สนุกมากได้เก็บคะแนนสะสมกับเกมระหว่างทาง จาก ขอนแก่น อุดร(ที่วัดป่าบ้านค้อในกิจกรรมปลูกต้นไม้ช่วยลดโลกร้อน นมัสการ พระมหาธาตุเจดีย์ ) พักที่นาข่าบุรี รีสอร์ท(ขอบอกว่าเยี่ยมมากทั้งอาหารและที่พัก) วันที่ 24 ตุลาคม tour นครเวียงจันทน์ โดยเฉพาะอาหารกลางวันที่ร้าน West Coast Airport Restaurant บริการเครื่องดื่มฟรีทุกอย่างรวมทั้งเบียร์ลาว และ ไวน์ด้วย ปิดเทอมครั้งนี้แม้จะน้อยวันแต่ก็มีความสุข

คาราวานฟ้าแดง ทัศนศึกษาสู่โลกกว้าง นศ.2009




โรงเรียนน้ำพองศึกษาได้จัดทัศนศึกษาให้กับนักเรียนทุกระดับชั้นในวันที่อ 2 ตุลาคม 2552 เพื่อให้นักเรียนได้ไปศึกษาหาความรู้นอกสถานที่จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆมากมาย และในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภายใต้การนำของหัวหน้าระดับคือท่านคุณครูประภัสสร และคณะคุณครูในระดับ ม,5 ทุกท่านได้นำนักเรียนจำนวนกว่า 320 คน ไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติบ้านเชียง จ.อุดรธานี และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืดที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นวิทยาเขตหนองคาย จ.หนองคาย

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

วิทยากรอบรม ICT พัฒนาครูวิทย์












วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ ที่โรงเรียนฝางวิทยาวิทยายน สพทขอนแก่น เขต๑ ในข้อเรื่องการสืบค้นข้อมูลวิทยาศาสตร์ผ่านทางอินเทอร์เนต และ windows movie maker คุณครูที่เข้าอบรมให้ความสนใจกันมาก ทำให้วิทยากรดีใจมาก และหวังว่าคุณครูทุกท่านคงจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ผลิตสื่อการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี

นำเสนอสื่อ ICT ชีวะ ในรูป PPT/flash
















วันที่ 26 - 28 กรกฎาคม 2552 นำเสนอสื่อวิชาชีววิทยา ในการประชุมสัมมนาผู้บริหาร
โรงเรียน ๑ อำเภอ ๑ โรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีใกล้บ้าน รุ่นที่ ๑ และรุ่นที่ ๒ ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียนพัทยา จังหวัดชลบุรี

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดอกไม้สดอบแห้ง เมื่อดอกไม้บานข้ามฤดูกาล


ดอกไม้ทุกชนิดนำมาอบแห้งได้ จะมียกเว้นก็เพียงอย่างเดียวที่ทำไม่ได้คือ ดอกมะลิ
เรื่อง : อาโป / ภาพ : พรชัย บัวทอง
เคยมีสักครั้งหรือหลายๆ ครั้งไหม ที่คุณนึกอยากเก็บดอกไม้บางดอกซึ่งมีความหมายต่อตัวคุณไว้นานๆ แต่เมื่อเวลาล่วงผ่าน ดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นมักร่วงโรยผ่านพ้นไป เหลือเพียงความทรงจำที่อาจเก็บอยู่ในภาพถ่าย หรือในรูปแบบของดอกไม้ทับแห้ง ที่รอเวลากรอบ-โรยราในอีกไม่นาน ดิฉันมักนึกตั้งคำถามนี้กับตัวเองเสมอ พอคิดถึงว่าอยากเก็บดอกไม้ให้อยู่กับเราได้นานมากขึ้น ทำให้ต้องควานหาวิธีการ และผู้ที่จะมาช่วยแนะนำบอกเล่า จนได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า ดอกไม้สดอบแห้ง และ คุณแมว - วิไลรัตน์ รัตนสถาพร ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ลงทุนลงแรง และหาทางศึกษาการทำดอกไม้สดอบแห่งนี้มานานถึง 10 ปีกว่า อยากบอกว่า เพราะดอกจะเน่า ไม่สวยงาม คุณแมวหรืออาจารย์แมวของลูกศิษย์มากมาย ได้เล่าให้ฟังถึงวิธีการอบแห้งว่า ใช้ซิลิก้าทรายดูดซับความชื้น โดยแบ่งการอบแห้งเป็น 2 ลักษณะ คือ ดอกไม้ประเภทกล้วยไม้ อบแห้งโดยต้องนำเข้าไมโครเวฟ ขณะที่อีกลักษณะหนึ่งใช้กับดอกไม้หลายๆ ประเภท สามารถอบแห้งโดยไม่ต้องเข้าไมโครเวฟ เมื่อดอกไม้แห้งดีแล้ว จึงนำไปเก็บไว้ในกล่องใส่ซิลิก้าเจล และสามารถเก็บได้นานหลายๆ ปีทีเดียว เพียงแต่ต้องคอยหมั่นตรวจสอบไม่ให้ซิลิก้าเจลมีสีซีด หรือดูดความชื้นจนเสื่อมคุณภาพ ดอกไม้อบแห้งแต่ละดอก สีสันส่วนใหญ่ยังสดใส และมีรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งในขั้นตอนการอบแห้งนั้น อาจารย์แมวเน้นว่าจำเป็นต้องรู้จักจัดวางดอกไม้อย่างเบามือ และให้คงรูปทรงเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เมื่อได้ดอกไม้สดอบแห้งอย่างที่ต้องการแล้ว นำมาจัดช่อใส่ในโหลแก้ว ปิดผนึกอย่างดี เพื่อป้องกันลมเข้า ดอกไม้ช่อพิเศษเหล่านี้สามารถคงความงาม และความหมายให้ได้ชื่นชมไปอีกนานเท่านาน ขณะที่ดอกไม้หลายชนิดผ่านตา และผ่านมือ (ที่จับคีม) ดิฉันอดตื่นเต้นกับความสวยและเส้นเกสรที่ยื่นยาวราวกับเพิ่งบานเมื่อเช้าวันนี้ไม่ได้ และยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้น เมื่ออาจารย์แมวหยิบดอกชมนาดมาให้ดมใกล้ๆ กลิ่นหอมเหมือนข้าวใหม่ แตะจมูกชวนให้รู้สึกถึงความมหัศจรรย์และความสุขที่ผู้คนช่างค้นหา และเก็บไว้ด้วยไอเดียหลากรูปแบบจริงๆ
การอบแห้ง จัดเรียงดอกไม้แต่ละชนิดในซิลิก้าทราย แล้วค่อยๆ โรยซิลิก้าทรายลงไปให้ท่วมดอกไม้ จากนั้นปิดฝาเก็บไว้ราว 7 - 10 วัน จะได้ดอกไม้สดอบแห้งที่ต้องการ จากนั้นย้ายดอกไม้อย่างเบามือมาไว้ในกล่องใส่ซิลิก้าเจล หากเป็นดอกกล้วยไม้ หลังจากโรยซิลิก้าทรายกลบจนท่วมดอกแล้ว นำเข้าเตาไมโครเวฟ ไฟแรงที่สุดประมาณ 1 นาทีครึ่ง แล้วจึงนำออกมา รอให้เย็น ย้ายดอกกล้วยไม้ไปเก็บในกล่องซิลิก้าเจล
การจัดช่อ การจัดช่อเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ช่วยให้เราได้ฝึกสมาธิและรู้จักความประณีตอ่อนโยนมากขึ้น ก่อนนำดอกไม้ออกมาจัด ต้องตระเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้ดอกไม้คงความสดได้นานๆ ต้องเรียนรู้การจับดอกไม้ด้วยคีมคีบ และใช้พู่กันปัดทรายให้ออกจากกลีบดอก แล้วพันฟลอร่าเทปกับก้านดอกไม้เพื่อช่วยในการจัดช่ออย่างเบามือ เมื่อจัดช่อเสร็จจึงปิดผนึกแก้ว หรือโหลที่เตรียมไว้

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Home & Decor

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตะลึง พบเอดส์พันธ์ใหม่ของโลกในหญิงไทย ติดเร็วรุนแรง


เจอ"เอดส์พันธุ์ใหม่"ในหญิงไทย ที่ตั้งครรภ์ 2 ราย คาดมาจาก"แอฟริกา" เผยต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น เพราะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในสารคัดหลั่งมากกว่า ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น แต่ยังป้องกันได้หากสวมถุงยาง
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ถึงกรณีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบผู้ป่วยเอดส์ 2 ราย ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ที่อาจไม่เคยพบมาก่อนในโลก โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จีและดี เรียกว่า เอจี-ดี(AG/D) ส่วนรายที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี(AE/G) ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบตัวเลขว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น ส่วนผู้ป่วยทั้ง 2 รายดังกล่าวไม่สามารถสอบสวนกลับไปได้ว่า ติดเชื้อมาอย่างไร เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการตรวจสอบเชื้อจากเลือดของผู้ป่วย ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร แต่คาดว่าผู้ติดเชื้ออาจเคยเดินทางไปหรือมีแฟนเป็นคนในประเทศแถบทวีปแอฟริกา
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาเรื่องการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เนื่องจากทั่วโลกมีไวรัสเอชไอวีกว่า 20 สายพันธุ์ หากศึกษาพบสายพันธุ์ใหม่ จะส่งผลต่อการป้องกันและควบคุมโรค ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการป้องกันโรคใหม่ แต่ปัจจุบันยังไม่พบสายพันธุ์ใหม่ ที่ส่งผลจนจำเป็นต้องเปลี่ยนการป้องกัน รวมถึงสายพันธุ์ผสมที่พบใหม่นี้ด้วย ที่ยังสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนการรักษาก็สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ คือ ยาสูตรพื้นฐานและยาสูตรดื้อยาได้ตามปกติ โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสประมาณ 2 แสนคน รับยาสูตรพื้นฐานประมาณ 1.5 -1.6 แสนคน และอีก 4-5 หมื่นคนรับยาสูตรดื้อยา
"จุดแตกต่างสำคัญของเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ผสมกับสายพันธุ์ไทย คือจำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งของสายพันธุ์ลูกผสมมีมากกว่า เช่น ในน้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไทย 1 ซีซี จะมีจำนวนเชื้อ 10 ตัว ขณะที่น้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมจะมีเชื้อ 20 ตัว เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้การแพร่เชื้อง่ายขึ้น เพราะมีปริมาณเชื้อจำนวนมากขึ้น โอกาสติดก็มากขึ้น ส่วนอัตราการดื้อยาน่าจะมีเท่ากัน คือ ประมาณร้อยละ 10" นพ.สมศักดิ์กล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า พบหญิง 2 คนที่มาฝากครรภ์กับโรงพยาบาล ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยตรวจพบในโลกมาก่อน จากปกติเชื้อเอชไอวีที่ระบาดในไทยมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) และสายพันธุ์บี (B) โดยสายพันธุ์เอ-อี จะพบมากกว่าร้อยละ 90 ทั้งนี้ทุกปีจะมีโครงการวิจัยเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์เอชไอวี โดยนำเลือดของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นคนไทยมาถอดรหัสตรวจหาสายพันธุ์เอดส์ ซึ่งปีนี้พบความผิดปกติจากตัวอย่างเลือด 2 คน จากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งมาทั้งหมด 44 คน เนื่องจากถอดรหัสออกมาพบว่าเป็นสายพันธุ์เอชไอวีที่ไม่เหมือนเดิม คนแรกเป็นเชื้อเอชไอวีที่ผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี (AG/D) ส่วนคนที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี (AE/G)
ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง กล่าวต่อไปว่า เชื้อเอชไอวีลูกผสม 3 สายพันธุ์ ไม่เคยมีรายงานการพบมาก่อน โดยสายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่มักพบในทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะไนจีเรีย ส่วนของไทยจะเป็นเออี ตอนนี้สแกนยีนออกมาแล้ว 500 เบส จากทั้งหมด 1,700 เบส เมื่อศึกษาระดับโมเลกุลครบทั้งหมดแล้ว จึงจะทราบรายละเอียดว่าเป็นเชื้อที่แพร่มาจากพื้นที่ใดของโลก ตอนนี้ตั้งสมมติฐานว่าหญิงทั้ง 2 คนได้รับเชื้อมาจากชาวแอฟริกัน ทั้งนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าสายพันธุ์จีกับดีเข้าไทยมานานหรือยัง ที่น่าเป็นห่วงคือสายพันธุ์เอชไอวีจากแอฟริกาจะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสเอดส์ในสารคัดหลั่งมากกว่า ทำให้ผู้สัมผัสติดเชื้อได้ง่ายและแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น
Satan_Doe - 10 มิถุนายน 2009 จากweb sema.go.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กินแคลเซียมเม็ด ดีมั้ย?


เห็นสุภาพสตรีหลายคน ที่อายุมากแล้ว หันมากินแคลเซียมเม็ดกัน ก็เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เพื่อให้หายข้องใจ ผู้เขียนจึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาตินพ.กฤษดา อธิบายว่า แคลเซียมเม็ด ทำมาจากหินปูนชนิดกินได้ นั่นก็คือ แคลเซียมคาร์บอเนต โดยแคลเซียมเม็ดนี้มักมีสิ่งที่นิยมใส่ร่วมด้วย คือ บางชนิดทำจากแคลเซียมร่วมกับกรด เช่น แคลเซียม ซิเตรท ซึ่งจะดูดซึมได้ดีกว่าชนิดหินปูนคาร์บอเนต หรือใส่วิตามินซีกับวิตามินดีร่วมไปด้วย โดยเฉพาะแบบเม็ดฟู่ แต่ต้องระวังในคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร ส่วนแคล เซียมแบบที่ควรระวัง คือ แคลเซียมเม็ดราคาถูกมาก เพราะอาจทำมา จากกระดูกวัวควายป่น ซึ่งอาจได้ของแถมเป็นสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนักอื่น หรือทำ มาจากหินปูนจากภูเขา ซึ่งร่างกายไม่สามารถ ดูดซึมได้ อาจสะสมให้เกิดนิ่วหรือกินเข้าไปเป็นเม็ดก็ยังถ่ายออกมาเป็นเม็ดได้เหมือนเดิม มีงานวิจัย ชี้ว่า แคลเซียมจากอาหารสดจะช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ แต่ถ้าเป็นแคลเซียมเสริมกินมากไปควรระวังการจับตัวเป็นนิ่วในไตได้

เคล็ดสำคัญในการกินแคลเซียมมีดังนี้ 1.อย่ากินร่วมกับผักที่มีผลึกออกซาลิก มาก เพราะจะทำให้เกิด นิ่ว เช่น ใบชะพลู ขึ้น ฉ่าย ยอดมะม่วงอ่อน 2.ถ้าเป็นแคลเซียมเม็ดขอให้แบ่งกินเป็น 2 มื้อจะ ดูดซึมได้ดีกว่ากินพร้อมกัน ในคราวเดียว ยกเว้นถ้าวันใดกินอาหารอุดมแคลเซียม อยู่แล้วก็กินแคลเซียมเม็ดเพียงมื้อเดียวก็พอ ผู้ที่ควรกินแคลเซียม คือ 1.ผู้ที่กินอาหารสดไม่พอ โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย 2.ผู้ที่ มีการใช้แคลเซียมเยอะมากกว่าปกติ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่อย่างนั้นอาจถูกลูกแย่งแคลเซียมจนฟันผุ หรือคน ที่มีปัญหาต่อมไร้ท่อทำให้มีการดึงแคลเซียมออกจาก กระดูกมากกว่าปกติ 3.ผู้ที่เข้าวัยทอง เพราะมีโอกาสกระดูกพรุนสูงมาก โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสันหลังบั้นเอว ข้อตะโพกและข้อมือ 4.ผู้เสี่ยงกระดูกพรุน เช่น คนที่ผอมบางกระดูกเล็ก คนสูบบุหรี่ มีประวัติครอบครัวเป็นกระดูกพรุน ส่วนคนที่ไม่ควรกิน คือ 1.คนที่มีปัญหาเรื่องขับแคลเซียมออกไปไม่ได้ เช่น คนที่เป็นโรคไต 2.คนที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เพราะแคลเซียมที่เกินอาจไปเกาะเป็นตะกรันหลอดเลือดหัวใจทำให้แข็งแต่เปราะและตีบตันง่าย 3.คนที่มีปัญหาเรื่องแคลเซียมสะสมตามตัว เช่น มีกระดูกงอกหรือเป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะ

สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมเยอะ หากคนที่ไม่มีเงินพอซื้อแคลเซียมเม็ดกิน เช่น แกงคั่วหอยขม ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม อึ่งแห้ง เขียดย่าง หมกปลาแก้ว แจ่วปลาร้า และกุ้งชุบแป้งทอด โดยพบว่า ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม หมกเคย กุ้งฝอยชุบแป้งทอด จะมีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 393.6-915.3 มก. ต่อ 100 กรัม เรียกว่ากินแค่ 1 ขีดก็ได้แคลเซียมพอ ๆ กับกินแคลเซียมเสริม 1 เม็ดเลยทีเดียว วัตถุดิบอาหารแคลเซียม ที่เลือกกินง่ายแบบไทย ๆ นอกจากที่เราเคยรู้มีดังนี้ 1.งาดำ รับประทานให้ได้ราว 2 ช้อนโต๊ะต่อวันจะได้แคลเซียมเกือบเท่ากับแคลเซียมเสริมทั้งเม็ดเช่นกัน 2.พริก กระถิน ใบยอ กะเพราโหระพา กระเจี๊ยบ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ปวยเล้ง คะน้า เหล่านี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีแต่มักถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นผัก ให้กินวันละอย่างน้อย 3 ทัพพีร่วมกับอาหารแคลเซียมชนิดอื่น โดยเฉพาะพริกนั้น การกินพริกป่นวันละ 1-2 ช้อนชาได้แคลเซียมถึง 1 ใน 3 ของที่ต้องการต่อวัน 3.กะปิและกุ้งแห้ง 4.เต้าหู้ แต่ขอให้เลือกชนิดแข็งเช่นเต้าหู้ขาวแข็งจะดีกว่าแบบนิ่ม เพราะผ่านกระบวนการที่ช่วยเติมแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการใส่ เจียะกอ ซึ่งก็คือ ยิปซัม หรือแคลเซียมซัลเฟตนั่นเองครับ จึงทำให้เต้าหู้ชนิดนี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีมากครับ 5.นอกจากนั้นยังมีมากใน โยเกิร์ต และชีส ไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะส่วนใหญ่เป็นโปรตีน แต่ถ้าเนยจะเป็นไขมัน


นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ขนมลูกชุบ




  • ปั้นได้ประมาณ 200 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดที่จะปั้นแต่ละลูก เพราะสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างสองอย่างนี้คือ การที่ชาดอกไม้ช่วยดึงรสหวานของเนื้อลูกชุบเมื่อถูกเคล้าด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาเขียว ดอกมะลิและลิลี่ที่อวลอยู่ในชา กลายเป็นช่วงเวลาที่ชวนจดจำมิอาจลืม
    ส่วนผสม :
    ถั่วเขียวซีกที่กระเทาะเปลือกแล้ว 1/2 กิโลกรัม
    มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
    น้ำตาลทรายขาว 1/2 กิโลกรัม
    น้ำ 1/2 ลิตร
    วุ้นผง 1 ซอง
    สีผสมอาหาร และไม้เสียบลูกชิ้น
    วิธีทำ :
    แช่ถั่วซีกในน้ำนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ล้างแล้วสะเด็ดน้ำ นำมานึ่งจนสุก
    ระหว่างนี้แบ่งครึ่งมะพร้าวขูด โดยนำส่วนแรกมาคั้นเอาน้ำกะทิลงต้มในหม้อ
    เติมน้ำตาลแล้วนำไปละลายบนเตาด้วยความร้อนปานกลาง
    ส่วนที่สองนำมาเคล้ากับถั่วซีกที่นึ่งสุก แล้วนำมาปั่นละเอียดจนได้เนื้อเนียนนุ่ม
    จากนั้นเทลงในหม้อ ที่กำลังต้มน้ำกะทิ เคี่ยวให้เข้ากันจนเริ่มเดือด
    เมื่อเริ่มแห้งแล้วให้หรี่ไฟ แล้วกวนไปเรื่อยๆ จนได้ความเหนียวตามต้องการ หรือให้พอปั้นได้
    ยกลงจากเตา รอให้เย็น
    ระหว่างนี้ละลายวุ้นกับน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อย เคี่ยวในหม้อด้วยไฟร้อนปานกลางจนข้นพอเพื่อให้เนื้อเคลือบที่ติดผิวลูกชุบมีความหนาพอประมาณ ยกลงจากเตารอให้เย็น
    จากนั้นนำถั่วกวนที่เย็นแล้วมาปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามต้องการ
    เสียบตรงขั้วด้วยไม้เสียบลูกชิ้นเพื่อระบายสี ตากให้แห้งพอหมาด แล้วชุบลงในหม้อวุ้น รอให้แห้ง
    ถอดออกจากไม้ ตัดและแต่งให้เรียบร้อย
  • ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

ดอกลำดวนและดอกักนเกราออกดอกหอมมาก



ช่วงปิดเทอมนี้ดอกไม้ทั้งสองชนิดส่งกลิ่นหอมมากไม่ทราบเคยได้กลิ่นหอมกันบ้างหรือเปล่า มารู้จักดอกไม้ทั้งสองชนิดนี้กันนะค่ะ




ดอกกันเกรา บ้านอีสานเรียกว่า ดอกมันปลาไม่ค่อยเห็นแล้ว)



ดอกไม้ประจำจังหวัด นครพนม, สุรินทร์
ชื่อสามัญ Anan, Tembusu
ชื่อวิทยาศาสตร์ Fagraea fragrans Roxb.
วงศ์ LOGANIACEAE
ชื่ออื่น กันเกรา (ภาคกลาง), ตะมะซู ตำมูซู (มลายู-ภาคใต้), ตาเตรา (เขมร-ภาคตะวันออก), ตำเสา ทำเสา (ภาคใต้), มันปลา (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ลักษณะทั่วไป ต้นสูงประมาณ 20–30 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่หรือรูปกรวยคว่ำ หนาทึบ ใบเดี่ยว รูปรีหรือแกมใบหอก สีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบสีอ่อน ออกดอกเป็นช่อจำนวนมากที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อใกล้โรย มีกลิ่นหอมเย็น ลักษณะดอกคล้ายแจกัน ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม เติบโตได้ดีในที่ชื้นแฉะ แสงแดดจัด
ถิ่นกำเนิด ป่าเบญจพรรณและตามที่ใกล้แหล่งน้ำใน ประเทศอินเดีย, มาเลเซีย, พม่า, เวียดนาม และประเทศไทย


ข้อมูลจาก student.psru.ac.th/~475405046/flower3.htm - 6k


ดอกลำดวน
ดอกไม้ประจำจังหวัด ศรีสะเกษ
ชื่อสามัญ Lamdman, Devil Tree, White Cheesewood
ชื่อวิทยาศาสตร์ Melodorum fruticosum Lour.
วงศ์ ANNONACEAE

ชื่ออื่น ลำดวน (ภาคกลาง), หอมนวล (ภาคเหนือ)
ลักษณะทั่วไป ลำดวนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 5–10 เมตร ผิวเปลือกลำต้นเป็นสีเทา ผิวต้นเรียบ มีรอยแตกเล็กน้อยแตก ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันตามข้อ ลำต้น ใบเป็นรูปหอก ยาวรี ปลายใบแหลม โคนใบมนแหลม ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกตามส่วนยอด และตามง่ามใบ มีกลีบดอก 6 กลีบ ซ้อนกันเป็นชั้น ปลายกลีบแหลม โคนกลีบดอกกว้าง ดอกมีขนาดเล็กสีเหลือง กลิ่นหอมเย็น ออกดอกช่วง เดือนธันวาคม-มีนาคม

การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
สภาพที่เหมาะสม ดินร่วนซุ่ย แสงแดดจัด เติบโตได้ดีในที่ชุ่มชื้น
ถิ่นกำเนิด ประเทศแถบอินโดจีน


ข้อมูลจาก www.panmai.com/PvFlower/fl_34.shtml - 14k

หัดทำขนมไทยช่วงปิดเทอม(กลีบลำดวน)


ส่วนผสม
แป้งสาลี 5 ถ้วยตวง, น้ำตาลป่น 2 1/2 ถ้วยตวง, น้ำมันพืช 1 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ผสมแป้งสาลีกับน้ำตาลป่นเข้าด้วยกัน ควรคนให้กระจาย ตัวทั่วกันดีเสียก่อน จึงเทน้ำมันลงในแป้งนวดเบา ๆ ให้เข้า กันดี ถ้ายังแป้งมากไม่อาจเกาะกันได้ เติมน้ำมันได้อีกเล็ก น้อย
คลึงออกเป็นแท่งกลมยาว แล้วตัดเป็นท่อน ให้ท่อนหนึ่ง ๆ หนึ่ง เมื่อปั้นเป็นก้อนกลม จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางสักประมาณ 1 1/2 เซนติเมตร และปั้นเป็นก้อนกลมไว้ให้หมด
ใช้มีดคม ๆ ผ่าแต่ละก้อนออกเป็น 4 ส่วน ปั้นแต่ละส่วนให้ คล้ายกลีบดอกลำดวน แล้วจับปลายชนกันเป็น 4 กลีบ จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ วางลงตรงกลาง ปั้นเรียงให้เต็มถาดที่ทาน้ำมันไว้แล้ว
นำเข้าอบที่ 350 องศาฟาเรนไฮท์ ประมาณ 8-10 นาที ให้ได้สีนวล ๆ เหมือนดอกลำดวนจริง ๆ จึงนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็นสนิทเสียก่อนจึงแซะใส่ขวดโหล
อบด้วยดอกมะลิ กระดังงาหรือควันเทียน

กรดออกซาลิก ในผัก ผลไม้




ผักผลไม้บางชนิด มีกรดออก ซาลิก อยู่ หากกินในปริมาณมากๆ อาจจะไปจับกับแคลเซียมทำให้เกิดนิ่วได้
ตั้งแต่เกิดมาทุกคนจะถูกปลูกฝังให้กินผัก ผลไม้ เยอะ ๆ ทั้งที่บางคนก็ไม่เคยรู้เลยว่า ในผัก ผลไม้ ที่กินเข้าไปนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร หรืออาจจะมีสารอะไรบ้างที่เป็นพิษต่อร่างกาย ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ผัก ผลไม้ บางชนิดที่เรากินเข้าไปทุกวัน มี กรดออก ซาลิก อยู่หากเรากินเข้าไปในปริมาณ มาก ๆ มันอาจจะไปจับกับแคลเซียม ทำให้เกิดนิ่วได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ในผักต่าง ๆ จะมีกรดออกซาลิกมาก โดยเฉพาะ ยอดผัก ใบ หรือต้นอ่อน กรดออกซาลิก มีอยู่ในผักหลายชนิด ได้แก่ ใบชะพลู ยอดพริกชี้ฟ้า ผักปลัง ผักโขม ผักชีฝรั่ง ผักกระเฉด หัวไชเท้า ใบโหระพา หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ผักกาด แครอท มันสำปะหลัง ดอกกะหล่ำ มะเขือ กระเทียม ในผักบางชนิดนอกจากจะมีกรดออกซาลิกมากแล้ว จะมีแคลเซียมอยู่ในตัวมันเองเยอะด้วย ก็ยิ่งจะรวมตัวกัน และทำให้เกิดนิ่วได้ง่ายขึ้น ส่วนผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก ได้แก่ สับปะรด กล้วยไข่ พุทรา การกินผักและผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก มาก ๆ มันจะไปจับกับแร่ธาตุตัวอื่น ๆ กลายเป็นผลึกออกซาเลต เช่น จับกับแคลเซียม ก็จะกลายเป็น แคลเซียมออกซาเลต จับกับโซเดียม ก็จะกลายเป็น โซเดียมออกซาเลต กรดออกซาลิกจะชอบไปจับแคลเซียม ทำให้เกิดแคลเซียมออกซาเลตได้ง่าย ยิ่งในปัจจุบันคนชอบกินแคลเซียมเม็ด กรดออกซาลิกก็จะไปจับกับแคลเซียมที่กินเข้าไป หรือไปจับกับแคลเซียมในกระดูก ทำให้เกิดผลึกนิ่ว กระดูกงอก กระดูกย้อย พอกระดูกของคนเราถูกดึงแคลเซียมออกไป กระดูกก็จะพรุนง่าย ทำให้มีหินปูนงอกตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เอกซเรย์แล้วอาจจะเจอกระดูกงอกตรงนั้นตรงนี้ กลายเป็นก้อนนิ่วเลยก็ได้ ความจริงร่างกายสามารถขับกรดออกซาลิกออกมาทางปัสสาวะได้ แต่ในคนที่มีปัญหาเรื่องไต ไม่ควรกินเพราะร่างกายจะไม่สามารถขับกรดออกซาลิก ออกมาได้หรือขับออกมาได้น้อย ทำให้เกิดนิ่วในไต หรือกระเพาะปัสสาวะได้ คนที่กินแคลเซียมเม็ด ก็ไม่ควรกินผักที่มีกรดออกซาลิก หรือถ้ากินผักที่มีกรดออกซาลิก ก็ไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นได้ ดังนั้นการกินผัก ผลไม้ ที่มีกรดออกซาลิก ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเป็นกิโลกรัม หรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม อย่างไรก็ตามผัก และผลไม้ ที่กล่าวมา แม้จะมีกรดออกซาลิก ที่อาจเป็นโทษต่อร่างกาย แต่ประโยชน์ด้านอื่นก็มีเช่นกัน เช่น มีวิตามิน แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือมีคลอโรฟิลล์เยอะ ซึ่งคลอโรฟิลล์จะช่วยนำสารอาหารเข้าไปในร่างกาย ช่วยชะลอเซลล์ที่เสื่อมได้ หลักสำคัญในการกิน คือ กินอาหารที่หลากหลาย ไม่ควรกินอะไรซ้ำ ๆ โดยเฉพาะยอดผัก มีสีเขียวจัด กลิ่นฉุน กลิ่นแรง. นวพรรษ บุญชาญ
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

ICT for learning


วันที่ 18-20 มีนาคมที่ผ่านมาได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการการใช้ICTเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์โครงการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาหลัก(วิทยาศาสตร์) โดย สพฐ ที่โรงเรียนขอนแก่น
วิทยายน จังหวัดขอนแก่น โดยวิทยากรนำคือท่านอาจารย์ศรันยู ศรีสมพร ครูเชียวชาญ โรงเรียนปรา
จิณราษฎรอำรุง ต้องขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้กับครูชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ และคุณครูที่เข้าอบรมอย่าลืมภาระกิจที่จะต้องทำต่อน่ะคะ คิดว่าคงทำได้ทุกท่าน